TRIP & TREK โลกกว้างของคนเดินทาง

ทริปนี้เป็นทริปที่พาครอบครัวเดินทางไกลอีกทริบ ซึงก่อนการเดินทางก็ไม่ได้วางแผนอะไรมากนัก เพียงแต่ว่าอยากไปทะเลทางใต้ และช่วงสงกรานต์มีวันหยุดหลายวัน จึงหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ท หาสถานที่จะไป ก็ไปสดุดตรงที่หมู่เกาะสุรินทร์ ซึ่งมีข้อมูลเดินทางพร้อมอย่างละเอียด จึงตกลงปลงใจว่าจะขึ้นเกาะสุรินทร์สักสองคืน
เล่นน้ำพักผ่อนอย่างเดียว

เมื่อได้สถานที่ ที่จะไปแล้วทีนี้ก็กำหนดวันเดินทาง หากไปวันที่ 10 -11-12 เม.ย. รถคงคิดแน่ จึงกำหนดเดินทางวันที่ 13 กลางคืน ผู้คนเดินทางไปเกือบหมดแล้วแน่นอน ขับรถสบายๆ

 :o :o :o
ไปทะเลกันดีก่า  ;D ;D

มานั่งรอค่ะ  ;D ;D

พอถึงกำหนดวันที่ 13 เก็บของขึ้นรถ สี่ชีวิตก็เดินทาง ออกจากบ้านเวลา 20.00 น รถวิ่งสะดวกมากครับเหยียบคันเร่งได้เต็มที่ขับไม่นานก็เข้าตัวเมือง กทม. ขึ้นทางด่วนพิเศษรังสิต มาลงทางด่วนดินแดง แล้วก็ขึ้นทางด่วนดินแดง ไปสะพานพระรามเก้า ไปลงที่ถนนพระรามสองมุ่งหน้าสุ๋สมุทรสาคร ใช้เวลาไม่นานนักเพราะถนน มีรถน้อยมาก ขับรถมาเรื่อยๆ มาพักรถเข้าห้องน้ำที่สมุทรสงคราม เป็นการพักรถช่วงที่หนึ่ง

เมื่อพักรถเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย จึงเดินทางต่อทีนี้ขับรถยาวด้วยความสะดวก สะบายอีกตามเคย นานๆจะมีรถสวนหรือตามมาจึงใช้ความเร็วสูงได้  จนมาถึงชุมพรแวะปั้ม ปตท.พักรถ ซึ่งเดินทางมาถึงที่นี่เวลา ตีสองกว่า จึงนอนเล่นเอาแรง สองชั่วโมง ประมาณตีสี่กว่าก็เดินทางต่อถึงปากน้ำชุมพร แล้วแยกไปจังหวัดระนอง ขับรถแบบเสียวๆเพราะไม่มีรถสวนมาเลยจนถึงตัวเมืองระนอง มีรถสวนทางมาเพียงสองคันเท่านั้น

คุยกับภรรยาและลูกว่า มาผิดทางหรือเปล่าเนี่ยเรา แต่ป้ายก็เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าทางหลวงหมายเลข4 พังงา 200 กว่ากิโลเมตร ภูเก็ต300 กว่านี่แหละ ก็ขับไปเรื่อบๆ ซึ่งตอนมาถึงระนองก็ประมาณตีห้ากว่าแล้ว ทางก็เริ่มมีโค้งมากขึ้นสองข้างทางก็เป็นป่าเขาสลับกับหมู่บ้านตลอด ผ่านหลายอำเภอ จำไม่ค่อยได้แต่จำได้ว่าอำเภอกระเปอ เพราะชื่อแปลกๆ แล้วก็ถึงอำเภอคุระบุรี

โห...เจอฟ้าส้วย...สวย  :)ไม่เจอฟ้าสีสดๆมานานแล้วงะ

เมื่อเดินทางมาถึงตัวคุระบุรี ก็ต้องถามทางไปยังท่าเรือที่จะไปยังหมู่เกาะสุรินทร์ จนมาถึงที่ทำการอุทยานจนได้ จึงติดต่อเจ้าหน้่าที่และซื้อตั๋วเดินทาง ซึ่งเดินทางโดยเรือเมย์ คิดราคาผู้ใหญ่คนละ1200 บาท เด็กครึ่งราคา600บาท สรุปค่าเรือรวมเป็นเงิน 4200 บาท ผู้ใหญ่ 3 คน เด็ก 1 คน กำหนดเดินทาง เก้าโมงครึ่ง (ซื้อตั๋วบริษัทซาบีน่าทัวร์)

เมื่อจัดการเีื่รื่องตั๋วเดินทางและที่พักเรียบร้อยก็หาอาหารทานจนอิ่ม แล้วก็มานั่งรอเรือออก นั่งรอจนสิบโมงกว่าก็ยังไม่ออก ไม่รู้รออะไรของเขา จนเกือบสิบเอ็ดโมงจึงออกเรือ นั่งออกมาได้ประมาณสิบนาทีเสียงเรือดังผิดปกติ สักพักเครื่องอืดดับวิ่งต่อไม่ได้ คนขับเรือก็แก้ไขใหญ่เลยครับจนเที่ยงยังไม่เสร็จ จึงได้วิทยุไปยังท่าเรือนำเรือมาถ่ายคนโดยสารทั้งหมด จึงเดินทางต่อได้

เรามาถึงหมู่เกาะสุรินทร์ ก็บ่ายสองกว่า และมาถ่ายลงเรือเล็กเดินทางต่อไปยังอ่าวไม้งามก็เป็นเวลาบ่ายสามโมง เมื่อมาถึงก็หาที่กางเต้นท์ ก็ได้แถวโซนสิบโน่นแนะ (คนบนเกาะเยอะมากเดินกันขวักไขว่ไปหมด)เลือกทำเลติดทะเลเหมาะมาก อยู่ใกล้ๆเต้นท์ฝรั่งด้วย

เมื่อเสร็จเรื่องที่นอนก็เดินเลาะตามชายหาดสำรวจพื้นที่เก็บภาพไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งวันแรกนี้ท้องฟ้าไม่ค่อยเปิดเท่าไรขาวไปหมด ก็เลยถ่ายหอยถ่ายปูเล่น โดยเฉพาะปูเสฉวนเยอะมาก

และอีกอย่างก็เดินสำรวจเกาะหาทำเลถ่ายภาพในตอนเช้า ของอีกวัน หรือเวลาฟ้าสวยๆจะได้มาถ่ายโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินหาอีกครับ

แหมพี่ เอาซะอารมณ์ค้างเยยอ่ะ

ชอบคห. #3 จังค่ะ

เร็วจิ เร็วจิ ;D ;D

อีกอย่างเตรียมเล็งตะวันไว้ก่อนว่าพระอาทิตย์จะตกทางไหน หรือตกมุมไหนของเกาะ จะได้หามุมสวยๆมาฝากพวกเรา
ซึ่งนั่งเล็งเดินเล็งพระอาทิติ์ก็ไม่ตกตรงตำแหน่งที่เราต้องการ ตอนเดินมาเล็งพระอาทิตยฺ์ก็เหลือบไปเห็น คนนอนเปลอย่างสบายอารมย์ โอ........ช่างมีความสุขมากๆเลย จึงค่อยๆเดินเลี่ยงไปหาต่ำแหน่งเหมาะๆแอบถ่ายมาได้หลายรูป

เมื่อถ่ายจนพอใจแล้วก็เดินหามุมต่อ จนพระอาทิตย์ลาลับไปแล้วก็ยังหามุมไม่ได้ แต่ได้แสงสุดท้ายของวันมาสองสามรูปเหมือนกัน

สรุปแล้ววันแรกได้รูปมาเพียงเท่านี้ จึงกลับที่พักอาบน้ำเดินไปหาอาหารทาน อาหารช่วงเย็นตกจานละ 180 บาท อาหารเช้า จานละ 70 บาท อาหารกลางวัน จานละ 140 บาท โห.........ทำไมมันแพงนัก พอดีมีอาหารญี่ปุ่นไปด้วย แต่ไม่มากนัก เลยประหยัดอาหารเย็นไปได้สองมื้อ ส่วนอาหารเช้าและกลางวันซื้อทาน(ท่านที่จะไปนะครับเตรียมเสบียงไปเยอะๆนะครับ)เสร็จแล้วก็นอนชายหาด หลับสบายเพราะเพลียจากการขับรถมาทั้งคืน ตื่นอีกทีเช้าเลย 

เช้าวันนี้อากาศดีมาก ลมเย็นสบายเสียงคลื่นดังเป็นระยะๆ น้ำเริ่มลดลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนเริ่มออกมาเดินตามชายหาด เพื่อชมทะเลยามเช้า ยกเว้นกลุ่มที่นั่งทานเหล้าช่วงกลางคืน(เต้นท์ข้างๆ)ยังไม่ตื่นเสียงกรนดังออกมาจากเต็นท์ หุๆๆๆ

เมื่อตื่นขึ้นมาก็คว้าแปลงสีฟันสะบู่เดินเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปลงฟัน (ไม่อาบน้ำนะครับ กะว่าสายๆจะว่ายน้ำทะเล)เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับมาคว้ากล้องกับขาตั้ง รีบเดินมาอีกฝั่งของเกาะ เพื่อจะถ่ายพระอาทิตย์ขึ้น แต่เมื่อเดินมาถึงพระอาทิตย์ดันขึ้นตรงเขาไม่มีมุมถ่าย โถ่เอ้ย...อุตส่าห์รีบตื่นแต่เช้า เมื่อไม่ได้พระอาทิตย์ขึ้นก็จึงเดินหาถ่ายอะไรไปเรื่อยเปื่อย

และก็นั่งเล่นดูเรือวิ่งเข้าวิ่งออกเกาะที่เราอยู่ ถ่างต้นโกงกางที่มีรากระโยงระยางบ้าง บางทีก็เดินลงทะเลถ่ายภาพน้ำทะเลใสๆบ้าง ตามที่ตาจะพอมองเห็นความงามของธรรมชาติ

แต่จากการสังเกตูเวลาเรือเข้าฝั่งไม่ว่าจะมีผู้โดยสารหรือไม่มี เรือหนึ่งลำจะต้องมีคนสองคนเป็นอย่างน้อย คือคนถือหางเรือ กับคนที่อยู่หัวเรือ ซึ่งคนถือหางเรือจะเป็นผู้ใหญ่ผิวดำๆ ผมแดงๆ ส่วนคนที่อยู่หัวเรือจะเป็นเด็กตัวดำๆ ผมแดงๆ ซึ่งผมเห็นแล้วผมสนใจมากลงทุนเดินลงน้ำไปขอถ่ายภาพเลยครับ ได้มาหลายรูปเหมือนกัน บางคนก็ขี้อาย บางคนก็ทำงงๆ บางคนก็เดินหนี แต่รูปออกมาดีมาก

พอสายอีกหน่อยก็เดินกลับมาอีกฝั่งของชายหาดเก็บภาพบรรยากาศ ทะเลยามเช้าของชายหาดที่สำรวจไว้เมื่อวาน แต่เช้านี้ทะเลน่ามองมาก มองไปทางไหนก็สดใสมากเลยจึงเก็บภาพไปเรื่อย

หลังจากนั้นก็ลงเล่นน้ำ กับลูกชาย ดำน้ำดูประการัง ดูปลามีโม และอีกหลายๆชนิด แต่ไม่สามารถถ่ายมาให้ดูได้นะครับ เพราะกล้องผมถ่ายได้เฉพาะบนน้ำ ไม่สามารถถ่ายใต้น้ำได้ หุๆๆๆๆ แต่ได้ถ่ายภาพเก็บไว้ในความทรงจำมาเพียบเลย
(เอารูปวิวไปดูก็แล้วกัน)

ตกลงวันนี้ดำน้ำดูปลาและประการังจนตัวดำปี๋เลยครับ พอแดดร้อนก็ขึ้นมาพัก ตอนแดดร่มลมตกก็ดำน้ำต่อทั้งวัน สนุกสนานมากๆ เย็นหน่อยก็คว้ากล้องเดินออกหามุมใหม่ถ่ายภาพอีกเช่นเคย เดินมาถึงเปลที่ถ่ายเมื่อวานเย็น วันนี้มีคนมานอนใหม่ แต่นอนอ่านหนังสืออย่างสบายใจกว่าเมื่อวานอีก เลยใช้สูตรเดิมค่อยๆเลี่ยงมาหามุมแล้วก็เก็บภาพมาได้หลายภาพ

สรุปว่าหมดไปอีกหนึ่งวันจึงกลับที่พักอาบน้ำ ทานอาหารญี่ปุ่น แล้วก็นอนฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง จนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน ตื่นอีกทีก็เช้าของวันใหม่ แต่วันนี้ล้างหน้าแปลงฟันแล้วก็เดินเล่นแถวๆเต้นท์นั่นแหละ ไม่ไปไกลเพราะต้องเตรียมเก็บของเดินทางกลับเข้าฝั่งช่วงบ่ายโมงครับ เดินถ่ายวิวอีกนิดหน่อย

พอใกล้เที่ยงก็เก็บของแจ้งเจ้าหน้าที่ จ่ายค่าที่พัก แล้วทานข้าวเที่ยง จากนั้นก็ขนสัมภาระเดินมารอเรือหางยาวไปขึ้นเรือใหญ่อีกทีครับ (นั่งรอจากเที่ยงจนบ่ายโมงจึงได้ขึ้นเรือใหญ่)

บ่ายโมงกว่าๆกเริ่ม็เดินทางออกจากเกาะกลับเข้าฝั่ง มาถึงฝั่งเกือบสี่โมงเย็น ขนสัมภาระขึ้นรถเดินทางกลับ การกลับจะกลับทางใหม่ ซึ่งจากการดูแผนที่ จะมีทางลัดตรงบ้านราชกรูด ไปพะโต๊ะ ออกหลังสวน แล้วเข้าชุมพร น่าจะใกล้กว่าขามาทางระนอง แต่ไม่รู้ว่าทางเป็นอย่างไร
             จึงขับรถย้อนมาถึงราชกรูดแล้วเลี้ยวขวาออก พะโต๊ะ ขับมาเรื่อยๆทางไม่ชันมากนักครับ แต่ไม่เหงาเหมือนขามา หุๆๆๆ   จนมาออกหลังสวน ก็เจอทางคู่ขับมาไม่นานก็ถึงชุมพร แวะทานข้าวอาบน้ำ ที่ปั้ม ปตท. นอนเล่นอีกหนึ่งตื่น

ปีหน้าไปสิมิลันดิพี่  มุมถ่ายภาพบนบกสุดยอด แถมน้ำใสกว่าสุรินทร์เป็นไหน ๆ  จะรอดูภาพฮะ

กะว่าเช้าอีกวันจะเที่ยวแถวประจวบให้ทั่วเลย โดยเฉพาะบึงบัวสามร้อยยอด วัดห้วยมงคล หัวหิน หว้ากอ หาดนวกร อีกหลายที่  แล้วจึงไปเที่ยวตลาดน้ำอัมพะวา จึงกลับบ้าน แต่ด้วยความที่นอนไม่หลับ เลยขับรถมาเรื่อยๆ
          ตีีสี่ถึงหว้ากอ ยังมืดอยู่เลย จึงขับต่อมาถึงอ่าวมะนาวประมาณตีห้า แวะเข้าไปก็เห็นมีแต่แสงไฟสีเขียวเต็มทะเลไปหมด เลยขับออกมาไปต่อ
       หกโมงเช้าขับมาถึง อช.เขาสามร้อยยอด พระอาทิตย์กำลังจะพ้นจากเขา มองไปเห็นต้นตาลอยู่กลางทุ่งนา จอดรถทันที เครื่องก็ไม่ดับ คว้ากล้องและขาตั้งเดินลัดทุ่งนา ไปหลายร้อยเมตร เลยได้รูปพระอาทิตย์ขึ้นที่สามร้อยยอดนี่เอง

เมื่อได้รูปพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ออกเดินทางตามหาบึงบัว โดยถามชาวบ้านแถวนั้นแหละครับ กว่าจะไปถึงเล่นเอาเหนื่อยเลยครับ ต้องสอบถามหลายรอบ เพราะป้ายไม่มีบอก แต่ก็ไปจนถึง
        เมื่อไปถึงก็จ้างเรือถ่อ 150 บาท ให้พาลุยดงหญ้าธูปฤาษี เพื่อไปชมดอกบัว ลัดเลาะไปเรื่อยมีนกให้ชมมากมายเลยครับ (แต่ไม่ได้ถ่ายเพราะนั่งบนเรือ กลัวเรือล่มถ่ายลำบากมาก)หากจะถ่ายรูปต้องให้คนถ่อ ค้ำเรือให้นิ่งๆไม่งั้นรูปถ่ายมาเบลอหมด

ช่วงที่ไปนี้คนถ่อเรือบอกว่า ดอกบัวบานน้อย แต่ผมจำไม่ได้ว่าช่วงเดือนไหนจะเยอะ เพราะมัวแต่ถ่ายรูปไม่ค่อยได้ฟัง (เท่าที่ดูด้วยตาผมก็ว่าเยอะเหมือนกันนะ) ถ่ายมาได้หลายรูปอยู่ครับ เสียก็หลายรูปครับ เพราะเรือมันโคลงเคลงอยู่เรื่อย เป็นเพราะผมนั่งเรือไม่เป็นนะครับ

เมื่อถ่ายรูปดอกบัวได้พอสมควรจึงกลับขึ้นฝั่ง และเดินทางต่อจุดหมายต่อไปคือวัดห้วยมงคล แต่ขาออกมายังไม่ทันถึงถนนใหญ่ ก็มีป้ายเขียนไว้ เชิญนมัสการหลวงพ่อโตพรหมรังสีที่ใหญ่ที่สุดในโลก วัดตาลเจ็ดยอด เลยลองเลี้ยวเข้าไปดู เพื่อจะได้สักการะเป็นสิริมงคลและถ่ายรูป (อยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่หรอกครับ ขับรถจากถนนใหญ่มาประมาณกิโลเดียวก็เจอแล้วครับ)

ซึ่งไม่ผิดหวังครับ องค์ใหญ่มาก ผู้คนก็ไม่เยอะ แถมยังเช้าอยู่ เสียอย่างเดียวเขาเอาร่มมากางไว้ตรงหน้า ทำให้ดูรกไปเลยครับ

หลังจากที่กราบไว้และถ่ายภาพหลวงพ่อโตเรียบร้อยแล้ว จึงมุ่งหน้าสู่วัดห้วยมงคลต่อไป ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก ขับรถครึ่งชั่งโมงก็มาถึงแล้วครับ แต่ที่วัดนี้รู้สึกว่าผู้คนค่อนข้างเยอะครับ จึงเดินเลี่ยงๆ ไปหามุมที่ไม่ค่อยมีคน หรือบางทีก็รอให้คนเหลือน้อยๆแล้วค่อยถ่ายรูปครับ แต่ช่วงที่มาี่วัดนี้แดดแรงมาก คนถ่ายเหงื่อท่วมตัวเลยครับ

รูปนี้รอตั้งนานจนคนเดินลงมาเหลือน้อยที่สุดแล้ว

ในที่สุดพวกเราก็ได้ไว้พระที่ใหญ่ที่สุด ถึงสองวัดได้บุญมาหลายกระบุง (งวดนี้คงถูกหวย) ก็ออกเดินทางต่อ ออกมาตอนเกือบบ่ายโมงแล้ว จึงแวะทานข้าวหัวหิน และก็จะตัดโปรแกรมเที่ยวประจวบที่เหลือออก กะว่าจะไปเที่ยวตลาดน้ำดำเนินสะดวกที่เดียวเลย แต่กำลังนั่งทานข้าวเอร็ดอร่อย เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มองดูหน้าปัด แม่เราเองนี่ พอรับสายเสียงแม่ตามสายมาเลยครับ ลูกหรือรีบกลับบ้านเลย อาเสียชีวิตสองวันแล้ว ให้กลับมาช่วยกันเดี๋ยวนี้เลย นิ่งอึ้งสักพักจึงตอบ"ได้ครับ" คุณแม่ก็วางหูไป เท่านั้นแหละครับ ต้องรีบเดินทางกลับบ้านทันที ไม่แวะไหนแล้วครับ จึงเป็นอันว่าปิดทริปนี้ไว้เพียงเท่านี้

 

สวยจังครับพี่  เมษาที่ผ่านมา ผมไปตะรุเตาแทนครับ

ดูแล้วคิดถึงเกาะสุรินทร์จริงๆ ;D

วันหน้าจะไปตะรุเตา เหมือนกันครับ และอีกหลายๆที่ รู้สึกว่ารักทะเลบ้างแล้วครับ

อ้าวทีมพี่แบมมี 4 ชีวิตเหรอครับเนี่ย นึกว่ามีแค่ 3 มาตลอดเลย
แต่จริงๆเจอครั้งแรกนึกว่ามีแค่ 1 ตัวคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจซะอีก ฮ่าๆๆๆๆ



อ้อ...ชอบภาพชุดนี้มากเลย สวยสะดุดใจให้คิดถึงสุรินทร์จริงๆ

 :o :o :o
ถูกใจ แจ่มจิงๆ ค่ะ  ;D ;D

 

เยี่ยมครับพี่  ผมเล่าเรื่องไว้แล้ว

เผื่อเป็นข้อมูลให้พี่เวลาเดินทางได้ครับ  ;D

สวยจัง..น้ำทะเลใส๊ ใส  แต่ทำไมเพิ่งเห็นก็ว่ามาดูทุกวันน๊า ;D