TRIP & TREK โลกกว้างของคนเดินทาง

ทริปนี้เป็นทริปเปลี่ยนแผนกระทันหัน  เพราะแรกเริ่มเดิมที่ตั้งใจจะไปชมความงามปราสาทตาเมือนธม  แต่ระหว่างทางโทร.เช็คทาง ททท. สุรินทร์ แจ้งว่าขณะนี้มีการตรึงกำลังของทหาร และไม่ต้องการให้นักท่องเที่ยวเข้าชมปราสาทเป็นการชั่วคราว   งานนี้ส้มเลยหล่นใส่ Joyful เต็ม ๆ เพราะไม่เคยไปเที่ยวทั้งปราสาทพนมรุ้ง และ ปราสาทหินเมืองต่ำ  ในขณะที่กระโจมไฟเคยเยือนมาแล้ว

จากแยกเข้า อ. เฉลิมพระเกียรติ  พวกเราว่าจ้างรถกระบะของคิวมอร์ไซค์รับจ้าง  สนนราคาเจ็ดร้อยบาทเพื่อนำชมปราสาทหินเมืองต่ำ และ ปราสาทหินพนมรุ้งในคราวเดียวกัน  ระยะทางไปกลับก็ราว ๆ สี่สิบกิโลเมตร 

เริ่มกันที่ปราสาทหินเมืองต่ำที่มีผังปราสาทหินที่งดงาม  รายรอบด้วยบารายหรือสระน้ำทั้งสี่ทิศ   ชื่อของปราสาทหินเมืองต่ำนั้นได้ตั้งในภายหลัง  ตามตำแหน่งที่ตั้งของปราสาทหินที่อยู่ต่ำกว่าปราสาทหินพนมรุ้งที่อยู่บนยอดเขานั่นเอง

ปราสาทหินเมืองต่ำถูกสร้างร่วมสมัยกับปราสาทหินพนมรุ้ง  ในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17  เพื่อเป็นศาสนสถานฮินดูในลัทธิไศวนิกาย 

จุดเด่นของปราสาทเมืองต่ำคือผังที่สวยงาม  มีบารายล้อมล้อม และ มีตัวปราสาทห้าหลัง ล้อมรอบด้วยระเบียงคดสองชั้น สร้างอยู่บนฐานเดียวกัน  ซึ่งปัจจุบันปราสาทประธานได้พังทลายลง  คงเหลือแต่ปราสาทรายรอบสี่หลังเท่านั้น

ทางเข้าสู่ตัวปราสาทมีลายจำหลักบนพื้นใกล้กรอบประตูอย่างงดงาม   บนพื้นตรงกลางซุ้มประตูทางเข้ามีลายดอกบัวแปดกลีบ  คาดว่าเป็นตำแหน่งให้หยุดทำการสักการะ

ตัวปราสาทที่ยังหลงเหลืออยู่  มองเห็นซากฐานของปราสาทประธานอยู่ตรงกลาง

บัวยอดปราสาท  ที่หล่นไม่ถูกนำกลับไปวางที่ยอดปราสาทเหมือนเดิม อาจเพราะมีน้ำหนักมาก(อันนี้เข้าใจเอาเองว่าคงเพราะน้ำหนักเยอะ)

ลายจำหลักบนทับหลังปราสาทองค์ทิศเหนือแถวหน้า  รูปพระอุมามเหศวร หรือ พระศิวะและพระอุมา ประทับบนโคอุศุภราช

หน้าบันของปราสาทองค์ทิศเหนือแถวหลัง  เป็นภาพ กฤษณะโควรรธณะ  เรื่องราวตอนหนึ่งของพระกฤษณะซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์

หน้ากาล  อสูรที่เชื่อว่าสามารถกลืนกินทุกอย่าง  จึงถูกนำมาจำหลักไว้บนหน้าบันและทับหลังแทบทุกแห่ง  ด้วยความเชื่อว่าหน้ากาลจะกลืนกินความเชื่อร้ายทุกอย่างไม่ให้กร้ำกรายเข้าสู่ศาสนสถานได้

หน้ากาลที่ปราสาทเมืองต่ำน่ารักดี

บารายขนาดเล็กที่รายรอบปราสาททั้งสี่ทิศ  บารายทั้งสี่มีกรอบพญานาคล้อมรอบ และมีซุ้มประตูทางลงสู่บารายที่สลักอย่างงดงาม

ซุ้มประตู และ ระเบียงคดรอบใน  มีขนาดเล็กและแคบกว่าทั่วไป

ภาพสลักพญานาคหัวโล้นคายอุบะ  อีกเอกลักษณ์ของปราสาทหินเมืองต่ำ

ลูกมะหวดรอบ ๆ ระเบียงคด  ที่บางส่วนหักหายไป

อำลาปราสาทเมืองต่ำด้วยหน้าบันของปราสาทองค์ประธานรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ   ซึ่งปัจจุบันนำมาแสดงไว้บริเวณด้านหลังซุ้มขายบัตรเข้าชมปราสาท

เดินทางกันต่อค่ะ  ปราสาทหินพนมรุ้งวันนี้คนเยอะพอควรเพราะเป็นวันหยุดยาวเข้าพรรษา

ก่อนเข้าถึงตัวปราสาท  ทางเดินสองข้างจะมีเสานางเรียงตั้งอยู่ เดิมทีคาดว่าน่าจะเป็นที่ใช้ตั้งโคมไฟ  ยังไงก็ขอเรียงกะเค้ามั่ง

ซุ้มประตูทางเข้าด้านหน้าปราสาท  จุดชมปรากฏการณ์มหัศจรรย์ด้านสถาปัตยกรรมการก่อสร้างปราสาทพนมรุ้ง  ซึ่งดวงอาทิตย์ ตกตรง 15 ช่องประตูปราสาท   นับเป็นปรากฏการณ์ที่มหัศจรรย์  โดยปราสาทพนมรุ้งเป็นเทวสถานในศิลปกรรมขอมแห่งเดียวในโลกที่มีสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ  ที่เป็นการผสมผสานภูมิปัญญาด้านสถาปัตยกรรม  ที่มีการก่อสร้างปราสาท  ที่ให้แสงอาทิตย์ส่องตรง 15 ช่องประตูผ่านศิวะลึงค์  ที่เปรียบเสมือนองค์พระศิวะ ซึ่งตั้งอยู่ภายในปรางค์ประธานของปราสาทพนมรุ้ง  ที่เปรียบเสมือนเขาไกรลาส บนสรวงสวรรค์ และในแต่ละปีจะเกิดขึ้นเพียง  4  ครั้งเท่านั้น

(http://www.tripandtrek.com/tntboard/index.php?action=dlattach;topic=2203.0;attach=18979;image)

ผ่านซุ้มประตูทางเข้าด้านหน้าเข้าไป ก็จะเจอกับปรางค์ประธาน  ที่มีหน้าบันรูปศิวนาฎราชที่งดงาม และ ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่เคยเป็นกรณีปัญหาเมื่อหลายปีก่อน  ถ้าหน้าบันสามารถยกไปได้โขมยคงเอาไป เพราะหน้าบันศิวนาฎราชที่นี่สวยงามจริง ๆ

หน้าบันศิวนาฎราช  เป็นปางหนึ่งของพระศิวะ เป็นบรมครูของศิลปะการร่ายรำหรือนาฏยศาสตร์ของอินเดีย ความเชื่อว่าการเต้นรำของพระศิวะก่อให้เกิดปฏิกิริยาของการสร้างโลกและมนุษย์ ศิวนาฏราชจะปรากฏในท่าย่างสามขุม (ตรีวิกรม) ซึ่งเป็น 1 ใน 108 ท่าที่ออกแบบโดยพระศิวะ โดยมีสัญลักษณ์ที่พระกรขวาถือกลองคือการสร้างโลก พระกรซ้ายมีเปลวเพลิงล้อมเป็นกรอบคือการสิ้นสุดที่ไฟจะเผาผลาญโลก พระศิวะได้ทรงพนันกับพระอุมาว่าโลกที่สร้างใหม่แข็งแรงหรือไม่ โดยพระศิวะทรงยืนขาเดียวบนก้อนหินโดยที่ขาต้องไม่ตก ในขณะที่พญานาคแกว่งลำตัววิดน้ำในมหาสมุทรให้สะเทือน พระศิวะทรงชนะ พระองค์ทรงสร้างโลกใหม่ด้วยการเต้นรำบนก้อนหินนั้น ในระหว่างที่ทรงเต้นรำเกิดเปลวไฟและน้ำหลั่งไหลจากพระวรกายกลายเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต

ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ด้านล่างหน้าบันศิวนาฎราช   เป็นภาพนารายณ์บรรทมสินธุ์ โดยพระนารายณ์บรรทมตะแคงขวา เหนือ พระยาอนันตนาคราช ซึ่งทอดตัวอยุ่เหนือมังกรอีกต่อหนึ่งท่ามกลางเกษียรสมุทรมีก้านดอกบัวผุด ขึ้นจากพระนาภีของพระองค์ มีพระพรหมประทับอยู่เหนือดอกบัวนั้น พระนารายณ์ทรงถือ คฑา สังข์ และจักรไว้ในพระหัตถ์หน้าซ้าย พระหัตถ์หลังซ้ายและพระหัตถ์หลังด้านขวา ตามลำดับ ส่วนพระหัตถ์หน้าขวารองรับพระเศียรของพระองค์เองทรงมงกุฏรูปกรวยกภณฑล กรองศอ และทรงผ้าจีบเป็นริ้ว มีชายผ้ารูปหาปลาซ้อนกันอยู่ 2 ชั้นด้านหน้าคาดด้วย สายรัดพระองค์ มีอุบะขนาดสั้นห้อยประดับ  มีพระลักษณมีชายาพระองค์ประทับนั้งอยู่ตรงปลายพระบาท

สำหรับพระพรหม ซึ่งประทับเหนือดอกบัวนั้น มีสี่พักตร์ สี่กร ถัดจากองค์พระนารายณ์มาทางซ้ายบริเวณเลี้ยวของทับหลัง มีรูปหน้ากาลคายพวงอุบะขนาดใหญ่ เหนือหน้ากาลมีรูปครุฑ ใช้มือยึดนาคไว้ข้างละต้นนอกจากนี้ยังปรากฏรูปสัตว์อื่น ๆ ได้แก่ นกแก้ว ลิง และนกหัสดีลิงก์คาบช้างอยู่ด้วย

การบรรทมสินธุ์ของพระนารายณ์นั้น คือ การบรรทมในช่วงการสร้างโลก การบรรทมแต่ละครั้งนั้น จะเกี่ยวกับยุคเวลาในแต่ละกัลป์ภาพทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่ปราสาทพนมรุ้งนี้ คงได้รับอิทธิพลจากคัมภีร์วราหปุราณะ เป็นคัมภีร์ที่ให้ความสำคัญแก่ พระนารายณ์เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ในขณะที่พระนารายณ์ กำลังบรรทมอยู่นั้น ได้ทรางสุบินขึ้นจากพระนาภี บนดอกบัวได้บังเกิดพระพรหม และพระพรหมทรงเป็นผู้สร้างมนุษย์ และสิ่งต่าง ๆ


ทับหลังนี้เราได้รับคืนจากอเมริกาเมื่อปีพศ. 2532 หลังจากต่อสู้เรียกร้องกันนานพอสมควร    ไหนมาทั้งทีก็ขอเก็บภาพเป็นที่ระลึกเหมือนนักท่องเที่ยวท่านอื่น

โดยรอบปราสาทประธานมีภาพสลักหน้าบัน และ ทับหลังที่งดงามโดยรอบ  นอกจากนี้ทั้งกรอบประตู  เสา ลวดรายตามผนังก็ล้วนละเอียดและงดงามทั้งสิ้น

ด้านทิศเหนือของปราสาทประธาน  มีท่อรองรับน้ำจากพิธีศักดิ์สิทธิ์ต่อจากห้องปราสาทประธาน  ออกมาภายนอกให้คนทั่วไปได้รับ

ภาพจำหลักเรื่องรามเกียรติ์ ตอน ยุทธภัณฑ์  เป็นเรื่องราวการยกทัพสู้รบกันระหว่างทศกัณฑ์ และ พระราม  อีกภาพเป็นตอน ทศกัณฑ์ลักนางสีดา

นอกจากภาพจำหลักนี้ โดยรอบปราสาทประธานยังมีภาพจำหลักจากเรื่องรามเกียรติ์อีกหลายตอน

ภาพจำหลักบริเวณโคนเสาประตูมณฑปทิศตะวันออกเป็นรูปพิธีปูรณธานยะ  ซึ่งเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์

โคอุศุภราช หรือ โคนนทิ หรือ โคนนทิการ (อังกฤษ: Nandi, สันสกฤต: नंदी) เป็นโคเผือกที่เป็นพาหนะของพระศิวะ กำเนิดมาจากเมื่อครั้งกวนเกษียณสมุทร พระกัศยปะต้องการให้นางโคสุรภีเป็นพาหนะประจำพระองค์ แต่ติดว่านางโคสุรภีเป็นโคเพศเมีย หากจะเป็นโคพาหนะจึงควรเป็นโคเพศผู้มากกว่า พระกัศยปะจึงได้เนรมิตรโคเพศผู้ขึ้นมาให้สมสู่กับนางโคสุรภี ลูกโคที่เกิดมาเป็นโคสีขาวปลอดเพศผู้ลักษณะดีคือ โคอุศุภราช พระกัศยปะจึงได้ประทานชื่อให้ว่า นนทิ หรือ นันทิ และได้ถวายให้เป็นพระพาหนะแด่พระศิวะ

อีกตำนานหนึ่งของการกำเนิดโคอุศุภราช กล่าวว่า เดิมทีเป็นเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ นนทิ เป็นเทพที่ดูแลบรรดาสัตว์ 4 ขาต่าง ๆ ที่เชิงเขาไกรลาส และมักเนรมิตรตนให้เป็นโคเผือกสีขาวเพื่อเป็นพาหนะของพระศิวะเมื่อเสด็จไปยังที่ต่าง ๆ

โคอุศุภราช ในความเชื่อของชาวฮินดูไม่เพียงแต่เป็นสัตว์พาหนะตัวหนึ่งเท่านั้น แต่ยังได้รับการบูชาดุจดั่งเทพเจ้าองค์หนึ่ง ดังนั้น โคหรือวัวสำหรับชาวฮินดูจึงถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ชาวฮินดูจึงไม่ฆ่าโคและกินเนื้อวัว ในพิธีการมงคลแบบฮินดู พราหมณ์จะนำมูลโคมาเจิมหน้าผาก ถือว่าเป็นมงคลประการที่ 7 และในวิหารบูชาพระศิวะมักมีรูปปั้นโคอุศุภราชนี้ประดิษฐานที่กลางวิหารด้วย ด้วยถือว่าเป็นสัญลักษณ์หนึ่งขององค์พระศิวะ

ภายในปราสาทประธาน

ภายนอกปราสาทด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นจุดชมวิว

ประตูทางเข้าประสาทประธานทั้งสี่ทิศ  จะมีทวารบาลอยู่ทิศละสองตน  ที่เหลือสมบูรณ์หนึ่งตนจะอยู่ทางด้านทิศใต้ 


ถ่ายภาพมาเยอะมากกกกกกกกก  ภาพสลักตรงไหนก็สวยไปหมด  สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนไม่เคยไปชมด้วยตัวเอง  รีบไปโดยด่วนก่อนที่ภาพสลักต่าง ๆ จะคอ่ย ๆ ลบเลือนไปตามกาลเวลา

มีสร้างภาพด้วยอะ.... ;D

กัวนึกภาพไม่ออกไง

สวยมากเลยอ่าาาาา

งามแต๊ๆ  ;D

ภาพสวยคะ


(http://www.sportzeed.net/webboard/Smileys/default/fw20.gif) (http://www.sbothailand.net)(http://www.sportzeed.net/webboard/Smileys/default/fw20.gif) (http://www.sportzeed.net)(http://www.sportzeed.net/webboard/Smileys/default/fw20.gif) (http://www.newsportpro.net)sports