TRIP & TREK โลกกว้างของคนเดินทาง

   การเดินทางครั้งนี้มีต้นเหตุมาจากนิตยสารท่องเที่ยวที่ชื่อ “อสท.”  อีกแล้ว!!   ภาพสะพานเหล็กบนตอม่อสูงใหญ่  ทอดข้ามแม่น้ำแควฉาบทาแสงสีอันสวยงาม  และเรื่องราวบอกเล่าประวัติความเป็นมาของทางรถไฟที่กลืนกินชีวิตเชลยศึกสัมพันธมิตร และ กรรมกรรับจ้างไปกว่า 40,000 ชีวิต  จนได้รับการขนานนามว่า “ทางรถไฟสายมรณะ”  ที่สามารถดึงดูดผู้คนจากทุกสารทิศมาย้อนรอยอดีตที่เมืองกาญจนบุรีทุกเมื่อเชื่อวัน

แผนที่ แสดงที่ตั้ง สะพานข้ามแม่น้ำแคว [ The Bridge on the River Kwai ]
http://www.tripandtrek.com/map/show.php?Category=&No=330 (http://www.tripandtrek.com/map/show.php?Category=&No=330)

กำหนดการจัดงานข้ามแสง สี เสียง สะพานข้ามแม่น้ำแควในปีนี้  ตรงกับวันที่ 25 พ.ย. – 5 ธ.ค.  โชคดีที่ไม่มีธุระที่ไหนก็เลยตัดสินใจเดินทางไปเก็บภาพกัน  เดิมทีเราตั้งใจจะเดินทางด้วยรถไฟ  จากสถานีบางกอกน้อย – กาญจนบุรี – น้ำตก  แต่โปรแกรมก็เปลี่ยนกระทันหันคืนก่อนวันเดินทาง  เพราะมีเพื่อนจะเดินทางกลับบ้านเกิดที่กาญจนบุรี

   เจ็ดโมงล้อหมุนจากจุดนัดหมายแถวประตูน้ำ  ชั่วโมงต่อมาพวกเราก็นั่งปั้นจิ้มปั่นเจ๋ออยู่ที่ร้านข้าวมันไก่ภายในบริเวณพระปฐมเจดีย์   ร้านตั้งติดกันสามร้าน  ร้านแรกประเภทข้าว อีกร้านเป็นก๋วยเตี๋ยว และสุดท้ายเป็นร้านกาแฟโบราณ  ใช้บริการทั้งสามร้านเลย  อร่อยทั้งหมดแถมราคาไม่แพงด้วยสิ  ใครมีโอกาสลองแวะไปทานได้  ขายตั้งแต่เช้าร้านตั้งอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำของวัด  แต่รับรองไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ใด ๆ แน่นอน

   อิ่มท้องตามระเบียบไปนมัสการพระปฐมเจดีย์  ซึ่งเราก็เพิ่งจะเคยมาไหว้ครั้งแรกเนี่ย  องค์พระใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก  แล้วก็สวยงามรอบ ๆ องค์เจดีย์มีระเบียง  และประดิษฐานพระพุทธรูปโดยรอบ  มีมณฑปประดิษฐานประพระธานองค์ใหญ่  เช่น พระนอน  พระร่วง  มณฑปตรงทางขึ้นมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนขึ้นมาใหม่  แต่ฝีมือแบบช่างโบราณ  วาดภาพสวยงามบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาขององค์พระปฐมเจดีย์ซึ่งไม่ควรพลาดชม

   อิ่มตา อิ่มใจกันแล้วเดินทางต่อไปยังพระที่นั่งสนามจันทร์  ซึ่งอยู่ห่างออกไปราวห้านาที  วันนี้ไม่เปิดให้ชมภายในพระที่นั่งและตำหนักต่าง ๆ เพราะตรงกับวันมหาธีรราชเจ้า  จึงมีพิธีบวงสรวงพร้อมกันทั่วประเทศ  อนุญาตให้เดินชมบริเวณโดยรอบเท่านั้น  การเที่ยวชมพระที่นั่ง ฯ ไม่อนุญาตให้นำขาตั้งเข้าไปเก็บภาพต้องฝากไว้ข้างหน้า  และ  หากต้องการเดินทางไปเก็บภาพช่วงนี้ให้เว้นไปก่อนสักเดือน  เพราะกำลังบูรณะและทาสีใหม่  แทบทุกตึกจึงมีนั่งร้านเต็มไปหมด

   จากที่นี่เรามุ่งหน้าสู่อำเภอท่าม่วง  ไม่ลืมแวะกินสลิ่มอร่อย ๆ ที่ร้านขายของฝากโรงงานวุ้นเส้นท่าเรือ  สถานีต่อไปเป็นวัดถ้ำเสือ ซึ่งสามารถมองเห็นเจดีย์เกศแก้วมหาปราสาท  ที่สวยงามอลังการได้จากระยะไกล  ขอบอกว่าใครที่เพิ่งมาเห็นครั้งแรกต้องอึ้งกับสถาปัตยกรรมที่สวยงามและอลังการสุด ๆ แบบนี้แน่นอน
   ห่างไปเพียง 2 กิโลเมตรเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ถ้ำเขาแก้ว  ซึ่งภายในบริเวณมีถ้ำเล็ก ๆ 3 ถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยงดงามไม่แพ้ถ้ำแก้วโกมล ของแม่ฮ่องสอน  เดิมทีบริเวณนี้เป็นพื้นที่สัมปทานทำหินปูน  ได้ทำการระเบิดถ้ำจนภายในถ้ำแก้วซึ่งแต่เดิมมีความสมบูรณ์สวยงามถล่มลงมา  ชาวบ้านจึงรวมตัวคัดค้านการทำสัมปทานหินปูน  จึงได้มีการยกเลิกสัมปทานในเวลาต่อมา  จากการระเบิดครั้งนั้นทำให้ทางเข้าถ้ำถล่มลงมา  เหลือเพียงทางเข้าแคบ ๆ ที่ต้องไต่บันไดลงไปอย่างทุลักทุเล  ขอบอกว่าถ้ำนี้ไม่เหมาะกับคนร่างใหญ่ และ เด็ก ๆ ค่ะ   แต่ถ้าหากผ่านเข้าไปได้แล้ว  เมื่อได้พบกับความงามภายในถ้ำรับรองว่าคุ้มค่ะ

   บ่ายแล้วเราแวะกินข้าวริมคลองชลประทาน  ก่อนมุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อหาที่พัก  ที่พักส่วนมากเต็มเพราะวันนี้เป็นวันเปิดงานแสงสีเสียงสะพานข้ามแม่น้ำแคววันแรก  ยิ่งบริเวณเชิงสะพานผู้คนคับคั่งมาก ๆ   ท้ายที่สุดเราได้ที่พักติดริมน้ำแควชื่อ Sugar cane ภายในซอยเวียดนาม  ห้องพักไม่ใหญ่นัก  แต่ก็ถือสะอาดและราคาถูกค่ะ 

   ห้าโมงเย็นเรากลับไปที่สะพานข้ามแม่น้ำแควอีกครั้งเพื่อจองบัตรเข้าชมงาน   สำหรับบรรดาตากล้องทั้งหลายแนะนำให้ไปเดินดูมุมก่อนค่ะ  ชอบใจตรงไหนก็ค่อยไปซื้อบัตรตามหมายเลขที่ระบุไว้ที่ที่นั่ง  พวกเราก็วิ่งวุ่นกันไปมา  สุดท้ายก็ได้ที่นั่งใต้ต้นไทรใหญ่ ข้างหลังศาลเจ้าพ่อปืน   ถือว่าเป็นชัยภูมิที่ใช้ได้สำหรับการถ่ายภาพ  เสียนิดเดียวว่ามุมค่อนข้างแคบไปนิดนึงค่ะ

   ได้บัตรเรียบร้อยก็โต๋เต๋ไปมา  ราวหกโมงครึ่งพวกเราก็กลับเข้าประจำที่นั่ง  ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีไปอย่างรวดเร็ว  แสงสวย ๆ ฉาบทาไปทั้งฟ้า  วงโยธวาทิตออกมาซักซ้อมเพลงเปิดงาน  สลับกับวงโปงลางที่บรรเลงเพลงเซิ้งอย่างเร้าใจ  และแล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง

   เมื่อประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน  วงโยธวาทิตบรรเลงเพลงมหาฤกษ์  พร้อมกับพลุชุดใหญ่ที่จุดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว  เล่นเอาสะดุ้งไปตาม ๆ กัน  พอได้ปรับกล้องให้พลุอยู่ในกรอบภาพวุ่นวาย  เมื่อหมอกควันจากพลุจางไปแล้วก็เริ่มเล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของเส้นทางรถไฟสายมรณะและสะพาน  โดยมีแสงสีสวย ๆ บนสะพานเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำที่สร้างเป็นค่ายพักเชลยศึกบ้าง  โรงพยาบาทบ้าง  หอคอยบ้าง  ก็มีแสงสีประกอบเรื่องเล่าอย่างไหลลื่น

  (http://tripandtrek.com/webboard1/photo/2007011219425543764376.jpg)

กระทั่งเรื่องราวเล่าไปถึงการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแควได้เสร็จสิ้นลง มีการเฉลิมฉลองเสียงเพลงมาร์ชปลุกใจก็กระหึ่มขึ้น  พร้อมกับเสียงตบเท้าของบรรดาเหล่าทหาร และ เสียงผิวปากเข้ากับเพลง  ทันใดขบวนรถจักรไอน้ำก็เคลื่อนตัวแหวกความมืดมากจากอีกฝากฝั่งของสะพาน พลุและดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นเพื่อการฉลองอย่างสวยงาม เล่นเอาขนหัวลุกไปเลย

เมื่อการเฉลิมฉลองเสร็จสิ้นไป   เสียงเครื่องบินจากฝ่ายสัมพันธ์มิตรก็ดังขึ้นจากทุกทิศทาง  ลูกปืนกลถูกยิงจากเครื่องบิน  พร้อมด้วยระเบิดที่ถูกทิ้งลงมาริมฝั่งแม่น้ำแตกเป็นลูกไฟขนาดใหญ่เสียงดัง  บางลูกพลาดตกลงในน้ำ  บางลูกก็มุ่งสู่เป้าหมายคือตอม่อของสะพาน  ลูกไฟแตกกระจาย  ตุ้ม ๆ ๆ บึ้ม ๆ ๆ เฟี้ยว ๆ ๆ  ปืนกลของทหารญี่ปุ่นก็พยายามต่อสู้อย่างเต็มกำลังแต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้  บึ้ม... รางรถไฟหลุดห้อยลงมาหลายจุด  นอกจาก แสง สี เสียง แล้ว  ผู้ชมบางท่านก็อาจได้สัมผัสละอองน้ำที่มาจากระเบิด  มากไปกว่านั้นก็เป็นลูกไฟจากพลุ  แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแค่วงแตกบ้างเท่านั้นเอง

สงครามจบลงแล้ว  เหลือเพียงเศษซากและร่องรอยประวัติศาสตร์แห่งสงคราม  บ้างเป็นสุสานฝังศพ บ้างเป็นสะพาน ทางรถไฟ  และความทรงจำของผู้คน  และการแสดงก็จบลง  ...  ทุกคนนั่งพูดคุยกันพร้อมเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก  พวกเราเองก็ตื่นเต้นไปกับการแสดงและการเก็บภาพ   สุดท้ายเราส่งตัวแทนออกไปซื้อบัตรรอบสอง  และปักหลักดูกันอีกรอบจนจบ  ห้าทุ่มเราเดินไปตามรางรถไฟบนสะพานประวัติศาสตร์  เก็บภาพเป็นที่ระลึกแล้วเดินกลับที่พัก  ..  พร้อมความรู้สึกหลายอย่างที่บอกไม่ถูก  ทั้งสนุกสนานจากการแสดง  สะใจกับเสียงระเบิดและลูกไฟลูกใหญ่  แต่ก็เศร้าสลดหดหู่ไปพร้อม ๆ กัน

วันใหม่เราตื่น ๆ  โปรแกรมของวันนี้ไม่ชัดเจนนักว่าจะทำอะไร  สิบโมงหลังมื้อเช้า  เราแบกเป้ออกมาหน้าห้องพัก  รถแมงกะไซค์พ่วงข้างมารับฝรั่งสองคนไปส่งที่สะพาน  พวกเราเลยว่าจ้างให้ไปส่งที่สุสานช่องไก่  ระหว่างนั้นคนขับสาวแนะนำโปรแกรมท่องเที่ยวให้พวกเรามากมาย  สุดท้ายโปรแกรมจึงเปลี่ยนเป็นเหมารถเที่ยวทั้งวัน  โดนเริ่มที่สุสานทหารสัมพันธ์มิตรดอนรัก  พิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2  ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน 

วันนี้แดดจัดมีนักท่องเที่ยวมากมายหลากหลายเชื้อชาติมาเยี่ยมชมหลุมศพ    บางคนคงมาเคารพหลุมศพผู้เป็นที่รัก  และไม่น้อยที่เป็นนักท่องเที่ยวมาตามหาร่องรอยอดีต  บนหลุมศพนับร้อยเหล่านี้จารึกชื่อผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษ  พร้อมทั้งคำอาลัยรักจากผู้ที่รักพวกเขา  บางหลุมศพมีดอกไม้และไม้กางเขนเล็ก ๆ เขียนข้อความไว้อาลัยญาติมิตร  ยากที่จะบอกความรู้สึกเมื่อได้มาเยือนสุสานแห่งนี้  ใกล้สุสานมีพิพิธภัณฑ์สงครามโลกที่นักท่องเที่ยวสามารถหาความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดี

จากสุสานเราไปเที่ยวกันต่อที่วัดญวณที่มีเจดีย์สวย ๆ สถาปัตยกรรมแบบญวนหรือเวียดนาม   ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแคว   มีมุมถ่ายภาพสวย ๆ มากมายพร้อมทั้งสามารถไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต 

วัดถาวรวราราม (วัดคั้นถ่อตื้อ)
http://www.tripandtrek.com/tntboard/index.php?topic=13.0 (http://www.tripandtrek.com/tntboard/index.php?topic=13.0)

 เที่ยวชมกันจนอิ่มใจไปหาข้าวกลางวันทาน  แล้วไปเที่ยววัดถ้ำพุหว้า และ วัดจีน    ที่สวยงามจนเย็นย่ำจึงได้กลับมาแวะเที่ยวสุสานทหารสัมพันธมิตรช่องเขาไก่  ตบท้ายด้วยข้าวต้มร้อน ๆ ก่อนขึ้นรถทัวร์กลับกทม.  ก่อนผล็อยหลับไปนั้นเสียงบรรยายจากการแสดงแสงสีเสียง  ยังก้องในหู  สงครามนี่ไม่ให้อะไรกับมวลมนุษยชาติ  นอกจากความสูญเสีย..

ย่านบ้านเก่าเมืองกาญจน์

กำลังบ้า lomo เข้าเส้นกั๊บ