หัวข้อ: สำรวจทรัพยากรฯ ที่ อ.วิภาวดี เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป เริ่มหัวข้อโดย: Peesuh ที่ มีนาคม 03, 2008, 09:20:19 AM อบต.ตะกุกเหนือ อ.วิภาวดี จ.สุราษฎร์ธานี ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ของ อ.วิภาวดี รวมทั้งได้เชิญชวน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นักข่าว นักสร้างเว็บไซท์ บรรดาผู้ที่มีความสนใจ ฯลฯ เพื่อที่จะร่วมกันสำรวจแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ใน อ.วิภาวดี ซึ่งคิดว่ามีศักยภาพพอที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ที่สำคัญและยั่งยืนของ อ.วิภาวดีต่อไป
วัตถุประสงค์ : เป็นการสำรวจอย่างเป็นกิจลักษณะ และ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น *เป้าหมายของการสำรวจอันดับแรก..."ป่าขี้ลม" หัวข้อ: Re: สำรวจทรัพยากรฯ ที่ อ.วิภาวดี เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป เริ่มหัวข้อโดย: Peesuh ที่ มีนาคม 03, 2008, 09:25:41 AM โดยปกติแล้ว...ฝอยลม (ขี้ลม) มักจะเกิดขึ้นในสภาพภูมิประเทศที่เอื้อฯ และเหมาะสมจริงๆ เท่านั้น
หัวข้อ: Re: สำรวจทรัพยากรฯ ที่ อ.วิภาวดี เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป เริ่มหัวข้อโดย: Peesuh ที่ มีนาคม 03, 2008, 09:26:26 AM กล่าวคือ ในสภาพพื้นที่ซึ่งเป็นภูเขาสูง มีสภ่พป่าอันอุดมสมบูรณ์ มีความชุ่มชื้นสูง รวมทั้งมีความหนาวเย็นที่พอเหมาะ ฯลฯ เท่านั้น
หัวข้อ: Re: สำรวจทรัพยากรฯ ที่ อ.วิภาวดี เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป เริ่มหัวข้อโดย: Peesuh ที่ มีนาคม 03, 2008, 09:28:01 AM ที่รู้จักกันดี ก็เช่น บนยอดดอยอินทนนท์ หรือ ในป่าโบราณบนเทือกเขาหลวง นครศรีธรรมราช เป็นต้น
หัวข้อ: Re: สำรวจทรัพยากรฯ ที่ อ.วิภาวดี เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป เริ่มหัวข้อโดย: Peesuh ที่ มีนาคม 03, 2008, 09:29:23 AM แต่อดจะแปลกใจเล็กๆ ไม่ได้...ที่พวกเรากลับได้พบเจอ "ป่าขี้ลม" ในสภาพภูมิประเทศอันเป็นภูเขาที่มีระดับความสูงไม่มากนัก
หัวข้อ: Re: สำรวจทรัพยากรฯ ที่ อ.วิภาวดี เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป เริ่มหัวข้อโดย: Peesuh ที่ มีนาคม 03, 2008, 09:31:46 AM ซึ่งคิดว่า..สูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางไม่เกิน 400 เมตร เท่านั้นเอง
หัวข้อ: Re: สำรวจทรัพยากรฯ ที่ อ.วิภาวดี เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป เริ่มหัวข้อโดย: Peesuh ที่ มีนาคม 03, 2008, 09:32:52 AM ...
หัวข้อ: Re: สำรวจทรัพยากรฯ ที่ อ.วิภาวดี เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป เริ่มหัวข้อโดย: Peesuh ที่ มีนาคม 03, 2008, 09:36:40 AM ลงจากยอดเขา...
*เป้าหมายของการสำรวจลำดับถัดไป...ดอกบัวผุด ........ *ดอกที่กำลังบาน หัวข้อ: Re: สำรวจทรัพยากรฯ ที่ อ.วิภาวดี เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป เริ่มหัวข้อโดย: Peesuh ที่ มีนาคม 03, 2008, 10:05:44 AM เท่าที่ผ่านมา...เคยมีโอกาสได้ไปสัมผัสดอกบัวผุดมาแล้ว 2-3 แหล่งด้วยกัน
สามารถกล่าวได้เต็มปากว่า... "ความสวยงามโดยรวม กล่าวคือ ทั้งลวดลาย และสีสัน ของดอกบัวผุดที่ อ.วิภาวดี นี่...สวยงามกว่าทุกๆ ที่ที่ได้ไปสัมผัสมา" ....... *ดอกอื่นๆ ซึ่งรอคิวที่จะเบ่งบานในลำดับถัดไป หัวข้อ: Re: สำรวจทรัพยากรฯ ที่ อ.วิภาวดี เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป เริ่มหัวข้อโดย: Peesuh ที่ มีนาคม 03, 2008, 10:21:48 AM นำข้อมูล.."เกี่ยวกับดอกบัวผุด" มาเพิ่มเติมนิดนึง...
ข้อมูล "บัวผุด" ชื่อวิทยาศาสตร์ : Refflesia kerrii Meijer ชื่อวงศ์ : Raffiesiacoae พืชในพื้นที่ป่าดิบชื้น บัวผุดเป็นกาฝากชนิดหนึ่งที่อาศัยน้ำเลี้ยงจากรากของพืชชนิดอื่น โดยจะโผล่เฉพาะส่วนดอกเท่านั้น (ซึ่งมีลักษณะเป็นดอกเดียว)ขึ้นจากพื้นดินให้เห็นระหว่างฤดูฝน หรือในระยะที่อากาศและพื้นที่ยังมีความชุ่มชื้นสูง คือ ระหว่างเดือนธันวาคม-สิงหาคม ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับลำต้นของบัวผุดมีลักษณะเช่นไร มีการเกาะ หรือเชื่อมติดกับพืชที่มันอาศัยอยู่อย่างไร ลักษณะของดอกบัวผุด เมื่อยังตูมอยู่จะคล้ายกับหม้อ หรือกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่มีกลีบหนา โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอกประมาณ 70-80 เซนติเมตร โคนดอกมีลักษณะเป็นกลีบสีน้ำตาลอมเหลืองเรียงสลับซับซ้อนกันอยู่มาก ภายในดอกจะมีแผ่นแบนคล้ายจาน ด้านบนมีปุ่มคล้ายหนามแหลมจานนี้จะซ้อนเกสรตัวผู้และรังไข่ไว้ด้านล่าง (สาขาวิจัยนิเวศวิทยา, 2533) ดอกบัวผุดเมื่อยังสดอยู่จะมีน้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม กลีบดอกมีความหนาตั้งแต่ 0.5-1 เซนติเมตร นับว่าเป็นดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ค้นพบในประเทศไทย ส่วนในต่างประเทศพบที่ประเทศมาเลเซีย เคยมีรายงานว่า พืชสกุลเดียวกันนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอกมากกว่า 100 เซนติเมตร ก็มี จากผลสำรวจและวิจัยของฝ่ายพฤษศาสตร์ กองบำรุง กรมป่าไม้ พบว่าบัวผุดพันธุ์ใหม่ที่พบในประเทศไทยนี้เป็นพืชกาฝากที่เกาะกินเฉพาะน้ำเลี้ยงจากรากของไม้เถาของว่านป่า"ย่านไก่ต้ม" (Tetrastigma papillosum Pianch ) เพียงชนิดเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ในบางครั้งมีผู้เข้าใจผิดว่าเป็นดอกของย่านไก่ต้ม ซึ่งความจริงแล้วเถาย่านไก่ต้มเป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์องุ่น (Vitidaceae) ที่มีเถาขนาดใหญ่พบขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ที่มีฝนตกอย่างสม่ำเสมอเกือบตลอดทั้งปี พื้นดินเป็นดินร่วน หรือดินร่วนปนทรายตามหุบเขา หรือบริเวณริมลำธาร ดอกย่านไก่ต้มมีสีเขียวอมเหลืองขนาดโตประมาณ 2 เท่าของหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น จากการศึกษาพบว่า พันธุ์ไม้ตระกูลบัวผุด (Raffiesia) มีอยู่ประมาณ 13-14 พันธุ์เท่านั้น สำหรับบัวผุดที่พบในประเทศไทยนั้น "ได้รับการตั้งชื่อเป็นพันธุ์ของโลก" เมื่อ พ.ศ.2527 โดย Dr.M.Meijer จากมหาวิทยาลัย Kentucky สหรัฐอเมริกา ตั้งชื่อพฤกษศาสตร์สากลเพื่อเป็นเกียรติแก่ Dr.A.F.G.Kerr นายแพทย์ชาสไอริช ผู้สำรวจพันธุ์ไม้ชนิดนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2472 ถึงแม้ว่าดอกบัวผุดจะมีกลิ่นเหม็นมากก็ตาม แต่เป็นพืชสมุนไพรที่หายากมากและมีคุณค่าสูง คือ นอกจากจะนิยมนำมาใช้ปรุงเป็นยาบำรุงสตรีหลังคลอด ให้มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงมีผิวพรรณเปล่งปลั่งแล้วยังเป็นยาบำรุงสำหรับบุรุษเพศอีกด้วย ในปัจจุบันดอกบัวผุดนับว่าจะหาดูได้ยากยิ่ง ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ป่าไม้ถูกทำลายลงไปอย่างมากทำให้สภาพนิเวศน์ของป่าเปลี่ยนไปมาก จะพบดอกบัวผุดบ้างเฉพาะตามอุทยาแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเท่านั้น ที่ได้รับการบันทึก ยืนยันแน่ชัดแล้ว เช่น อุทยานแห่งชาติเขาสกจังหวัดสุราษฎร์ธานี อุทยานแห่งชาติคลองพนม เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา จังหวัดระยอง บ้านกร่าง เพชรบุรี เป็นต้น และที่ได้สำรวจพบล่าสุด...ก็ที่เขตอนุรักษ์ป่าคลองยัน อ.วิภาวดี ซึ่งได้กล่าวถึงข้างต้นนี่แหละ หัวข้อ: Re: สำรวจทรัพยากรฯ ที่ อ.วิภาวดี เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป เริ่มหัวข้อโดย: Joyful ที่ มีนาคม 03, 2008, 01:06:42 PM ถ้าหากสนใจเดินทางท่องเที่ยวที่นี่ มีหมายเลขติดต่อเจ้าหน้าที่หรือเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: สำรวจทรัพยากรฯ ที่ อ.วิภาวดี เพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ต่อไป เริ่มหัวข้อโดย: Peesuh ที่ มีนาคม 03, 2008, 09:51:01 PM ตอนนี้ผมมีเบอร์โทร.ของ อบต.ตะกุกเหนืออยู่เพียงเบอร์เดียว คือ 077292111
หากต้องการจะสอบถามเรื่องเกี่ยวกับ "บัวผุด" โดยตรงก็พูดสายกับคุณเอ้ ครับ (ประทานโทดจริงๆ ที่ลืมถามชื่อถามชื่อ) |