ที่มาของชื่อ 3000 พันโบก
นานมาแล้วมีเจ้าชายองค์หนึ่งหนีจากวังมาเที่ยวบริเวณชายแดนที่มีแม่น้ำโขงกั้นกลาง ด้วยความงดงามของทัศนียภาพแปลกประหลาดดุจแผ่นดินนี้มีแต่หินผา มองไปทางไหนก็คล้ายคลึงไปหมด ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ว่าเดินทางจากทางไหน
ในที่สุดก็ไม่สามารถหาหนทางกลับเข้าวังได้ ตกค่ำจึงต้องเอาหลืบหินเป็นที่ปักหลักพักค้าง ขณะที่หลับใหลด้วยความอ่อนเพลียก็เกิดนิมิตขึ้นว่า หากต้องการออกไปจากที่นี่ ให้มุ่งไปทางตะวันออกจะพบผู้มีบุญญามาช่วย
รุ่งเช้าเจ้าชายจึงมุ่งหน้าไปล่าฝัน ไม่นานก็พบกับแม่น้ำใหญ่ทราบภายหลังว่าคือแม่น้ำโขง ที่กลางแม่น้ำอันเชี่ยวกราก มีชายชราเครายาวเกล้าผมมวยนั่งอยู่บนเรือสำปั้น แต่เรือนั้นลอยอยู่ราวกับสายน้ำนิ่ง เจ้าชายจึงตะโกนขอความช่วยเหลือ แต่คนบนเรือกลับไม่ไหวติง เจ้าชายยังคงพยายามทุกวิถีทาง ตะโกนจนเสียงแหบแห้ง เต้นแร้งเต้นกาเรียกความสนใจก็แล้ว เอาก้อนกินปาใส่เรือแล้วก็ตาม แต่ไม่มีการตอบรับ เจ้าชายหมดปัญญายืนหอบแฮกๆ เอามือล้วงกระเป๋ากางเกง แล้วก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาได้ว่า
เงินในกระเป๋าใช้อะไรก็ไม่ได้ในดินแดนพิศวงแห่งนี้ จึงล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงเป็นเงินใบละหนึ่งพัน ยื่นออกไปยังชายชราเป็นค่าตอบแทนหากเข้ามาช่วยเหลือ เงินพันแรกไม่อาจทำลายความนิ่งเฉยของชายชราได้ เจ้าชายจึงค่อยๆ ล้วงเงินขึ้นมาอีกหนึ่งพันด้วยความเสียดาย แล้วทำเช่นเดิมอีก ชายชราชายตามองแล้วยิ้มเล็กน้อยแต่ก็นิ่งเฉยเช่นเดิม ฝ่ายเจ้าชายก็ไม่ลดละเลิกด้วยยังเม้มไว้ในกระเป๋าอีกหนึ่งพัน จึงตัดใจนำเงินทั้งสามพันมารวมกันแล้วโบกไปโบกมาแล้วก็โบกมาโบกไปอยู่เป็นนาน ด้วยมั่นใจว่า ต้องทำให้ชายชราหวั่นไหวแน่ๆ
และแล้วชายชราก็โดดผลุงลงสู่สายน้ำอันเชี่ยวกราก แล้วโผล่ขึ้นมาบริเวณฝั่งที่เจ้าชายยืนอยู่ แต่กลับการเป็นพญานาคตัวใหญ่มารับเจ้าชายออกไปจากที่แห่งนั้น ต่อมาบริเวณนี้จึงได้รับการขนานนามว่า สามพันโบก ตั้งแต่นั้นมา
โปรดทราบ ห้ามนำตำนาน 3000 โบก ข้างต้นไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต มิฉะนั้นจะได้รับโทษทั้งจำและปรับตามที่กฏหมายกำหนดไว้สูงสุด
.... เงิน กับ กระแส การยักยอก .สินบน และ ค่า เงิน เป็นเพียง ตำนาน หรือ เรื่องจริง